ข้าวไทย... ของเรา กับสถานการณ์ด้านราคา
หากเราจะพูดถึงความภาคภูมิใจของคนไทย หลายคนคงนึกถึง “ข้าวหอมมะลิ” ที่เคยคว้าแชมป์ข้าวที่ดีที่สุดในโลก แต่วันนี้... ข้าวไทยกำลังเจอความท้าทาย ในช่วงปี 2567-2568 ข้าวไทยเจอปัญหาราคาตกต่ำสุดในรอบหลายปี “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” รายงานว่า “ข้าวไทยปี 2568 มูลค่าลดลงต่ำสุดในรอบ 4 ปี” สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาข้าวตกต่ำ 3 ประการ คือ อุปทานส่วนเกินโลก สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตถึง 13.3 เท่า สต็อกข้าวโลกล้น คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.8% หรือมีปริมาณมากถึง 185.1 ล้านตัน
ในขณะที่ประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลก เช่น อินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาว กดดันราคาข้าวโลก ที่น่าเป็นห่วงคือ อินโดนีเซียซึ่งเป็นตลาดสำคัญของเรา กำลังนำเข้าข้าวจากปากีสถาน เมียนมา และอินเดีย ในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น แต่กลับนำเข้าข้าวจากไทยลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของไทยในระยะยาว
ข้าวเหนียว…มากกว่าอาหาร แต่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทย
ถึงแม้ว่าข้าวที่สร้างรายได้หลักให้กับประเทศเราจะเป็นข้าวเจ้า แต่ข้าวเหนียว ก็ยังคงเป็นอาหารหลักของคนไทยล้านนาในภาคเหนือและคนไทยอีสานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พันธุ์ข้าวเหนียวที่สำคัญและมีชื่อเสียง ได้แก่ กข6 ซึ่งเป็นข้าวเหนียวหอม ไวต่อช่วงแสง ปลูกได้เฉพาะฤดูปลูกนาปีเท่านั้น นอกจากนี้ยังอ่อนแอต่อโรคไหม้ (Blast) ซึ่งเป็นโรคที่สำคัญในระบบนิเวศแบบข้าวนาน้ำฝน เพื่อลดความเสี่ยงของความเสียหายของผลผลิตข้าวดังกล่าว และเพิ่มความหลากหลายของข้าวพันธุ์ปลูก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้าว ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ต่างพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ขึ้นมา เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดความเสียหายอันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม อันนำไปสู่การยกระดับรายได้ของเกษตรกรที่เป็นอาชีพหลักของคนไทย
ข้าวเหนียว “หอม มพ. 1” ข้าวเหนียวหอมจาก ม.พะเยา ข้าวเพื่อชุมชนแห่งภาคเหนือตอนบน
หนึ่งในความสำเร็จจากมหาวิทยาลัยพะเยาคือ ข้าวเหนียวหอมพันธุ์ “หอม มพ. 1” ที่พัฒนาโดยคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา แล้วข้าว “หอม มพ. 1” มันพิเศษยังไง? ต้องบอกเลยว่า ข้าวเหนียวหอม มพ. 1 เป็นพันธุ์ข้าวที่ไม่ไวต่อช่วงแสง ให้ผลผลิตดี เฉลี่ย 830 กิโลกรัมต่อไร่ มีรวงยาว เมล็ดใหญ่ ลำต้นแข็งแรง สูงประมาณ 126 เซนติเมตร ระยะเวลาในการปลูกถึงช่วงเก็บเกี่ยว ประมาณ 140-150 วัน ที่สำคัญคือ เหมาะกับภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะพื้นที่นาชลประทาน
แล้วข้าวพันธุ์นี้มีเทคโนโลยีอะไรที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง?
ข้าว “หอม มพ. 1” ไม่ใช่แค่การผสมพันธุ์แบบเดิม ๆ ทีมวิจัยใช้เทคโนโลยี DNA markers หรือที่เรียกว่า MAS (Marker-assisted selection) ร่วมกับการปรับปรุงพันธุ์ข้าวดั้งเดิม (Conventional breeding) ง่าย ๆ คือ การตรวจ “แถบดีเอ็นเอ” เพื่อช่วยคัดเลือกต้นข้าวที่มีคุณสมบัติดี ทำให้การพัฒนาพันธุ์เร็วขึ้นและมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดย หอม มพ. 1 เป็นเริ่มสร้างคู่ผสมตั้งแต่ปี 2555 เกิดจากการผสมข้ามของข้าว จำนวน 3 พันธุ์ ได้แก่ สันป่าตอง 1, กข6 และ RGD07585-5-B-MAS-12-1-MAS-14 พัฒนาประชากรโดยวิธีการผสมกลับ และใช้เครื่องหมาย DNA ถึง 5 ตำแหน่ง เพื่อคัดเลือกลักษณะที่ต้องการ คือความหอม ความต้านทานโรคไหม้ และต้านทานโรคขอบใบแห้ง
จากการทดสอบรสชาติ พบว่าข้าวเหนียวพันธุ์ใหม่ “หอม มพ. 1” มีกลิ่นหอมชัดเจนกว่าข้าวสันป่าตอง 1 อีกทั้งยังให้ผลผลิตใกล้เคียงกับสันป่าตอง 1 มีเมล็ดขนาดใหญ่ และรวงยาว เหมาะกับการปลูกในฤดูปลูกนาปี แต่มีจุดอ่อน คือฤดูปลูกนาปรัง จะมีอายุปลูกถึงเก็บเกี่ยวที่ยาวเกินไป ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับพื้นที่นาชลประทานที่มีข้อจำกัดด้านน้ำที่ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก
อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยก็กำลังพัฒนาต่อยอด เพื่อหาทางแก้ปัญหานี้อยู่ เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ เป็นผลงานของทีมวิจัยจากคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา โดยมี ผศ.ดร.ไวพจน์ กันจู เป็นหัวหน้าโครงการ ร่วมกับ อ.วราวุฒิ โล๊ะสุข จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่าน, นางสาวศิริพร กออินทร์ศักดิ์ และ ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา จาก สวทช. พร้อมด้วยทีมผู้ช่วยวิจัย นายกษิดิศ มิ่งเมือง และ นายนิรุตติ์ โปทะปัญญา และความร่วมมือด้านการทดสอบพันธุ์จากศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย และ ศูนย์วิจัยข้าวแพร่ กรมการข้าว ภายใต้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์โดยสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร หรือ สวก. (องค์การมหาชน)
.jpg)
ข่าวดียิ่งไปกว่านั้นคือ ข้าว “หอม มพ. 1” ได้รับการรับรองเป็นพันธุ์พืชขึ้นทะเบียน ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 จากสำนักคุ้มครองพันธุ์พืช กรมวิชาการเกษตร อย่างเป็นทางการแล้ว ในชื่อ หอม มพ. 1 (Hom Morpor 1) เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2567 และในขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการผลิตเมล็ดพันธุ์เพื่อเผยแพร่ให้กับเกษตร นั่นหมายความว่า ในอนาคตอันใกล้ เกษตรกรไทยจะได้มีโอกาสปลูกข้าวเหนียวหอมพันธุ์ใหม่ที่ทั้งหอม อร่อย และให้ผลผลิตที่ดีขึ้น
ข้อมูล: ผศ.ดร.ไวพจน์ กันจู อาจารย์ประจำสาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา
เขียน/เรียบเรียง: บรรเจิด หงษ์จักร นักประชาสัมพันธ์ งานสื่อสารองค์กร กองกลาง มหาวิทยาลัยพะเยา