ประกันภัยภาคบังคับ / ประกันภัย พ.ร.บ.
 
บทความกฎหมายเรื่องใกล้ตัววันนี้ขอนำเสนอเรื่อง “ประกันภัยภาคบังคับ” หรือที่ทั่วไปเรียกว่า “ประกันภัย พ.ร.บ.” ซึ่งหมายถึง การที่เจ้าของรถยนต์และรถจักรยานยนต์มีหน้าที่ต้องทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 โดยกฎหมายดังกล่าวนั้นมีสาระสำคัญที่เจ้าของรถพึงทำความเข้าใจ เพราะหลายท่านไม่ทำประกันเพราะคิดว่ารถของตัวเองไม่ได้ต่อภาษีประจำปี เป็นรถเก่า หรือคิดว่าไม่สำคัญปล่อยให้ประกันภัยขาดไปบ้าง ผู้เขียนจึงอยากนำสาระสำคัญของกฎหมายดังกล่าวมาเล่าสู่กันฟังในรูปแบบการถามต่อบ เพื่อการทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้
 
ทำไมต้องบังคับให้ทำประกันภัย พ.ร.บ. ?
คำตอบ : การบังคับให้เจ้าของรถต้องทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองและให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากการประสบภัยจากรถ โดยจะได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงทีกรณีบาดเจ็บ และมีเงินช่วยเป็นค่าปลงศพกรณีเสียชีวิต และเป็นหลักประกันให้แก่สถานพยาบาลว่าจะได้รับค่ารักษาพยาบาลในการรักษาพยาบาลผู้ประสบภัยจากรถ ที่สำคัญจะช่วยลดภาระค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่เราเป็นฝ่ายผิดเพราะบริษัทที่รับประกันภัยจะเข้ามาช่วยจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามที่กรมธรรม์ประกันภัยกำหนดไว้
 
รถประเภทใดบ้างที่ต้องทำประกันภัย พ.ร.บ. ?
คำตอบ : ตามกฎหมายกำหนดให้ “รถทุกชนิดทุกประเภ” ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร เป็นรถที่เจ้าของมีไว้ใช้ ไม่ว่ารถดังกล่าวจะเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่น เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อเครื่อง รถยนต์โดยสาร รถบรรทุก หัวรถลากจูง รถพ่วง รถบดถนน รถอีแต๋น ฯลฯ ดังนั้น จึงเป็นคนละกรณีกับการที่แม้ว่าจะมีรถบางประเภทที่กรมการขนส่งทางบกไม่รับจดทะเบียน แต่หากเข้าข่ายว่ารถนั้นเดินด้วยกำลังเครื่องยนต์ กำลังไฟฟ้า หรือพลังงานอื่นแล้วก็เข้าข่ายเป็นรถที่ต้องทำประกันภัยตามกฎหมาย เช่น รถที่มีการดัดแปลงเปลี่ยนเครื่องยนต์ไม่ถูกต้องขนส่งจึงไม่ต่อทะเบียนให้ แต่ก็ต้องทำประกันภาคบังคับเช่นกัน
 
มีรถที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องทำประกันภัย พ.ร.บ. หรือไม่ ?
คำตอบ : รถต่อไปนี้ได้รับยกเว้นไม่ต้องทำประกันภัย พ.ร.บ ประกอบด้วย รถสำหรับเฉพาะองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท และรถสำหรับผู้สำเร็จราชการ แทนพระองค์ รถของสำนักพระราชวังที่จดทะเบียน และมีเครื่องหมายตามระเบียบที่เลขาธิการพระราชวังกำหนด รถของกระทรวง ทบวงกรม เทศบาล องค์การบริหารส่วนจังหวัด สุขาภิบาล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และส่วนราชการท้องถิ่นที่เรียกชื่ออย่างอื่น และรถยนต์ทหารตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ทหาร รถของหน่วยงานธุรการขององค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานธุรการที่เป็นอิสระขององค์กรใดๆ ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ
 
ใครมีหน้าที่ต้องทำประกันภัย พ.ร.บ. ?
คำตอบ : ผู้มีหน้าที่ต้องทำประกันภัยรถ ได้แก่  เจ้าของรถ ผู้ครอบครองรถในฐานะผู้เช่าซื้อรถ และผู้นำรถที่จดทะเบียนในต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศ 
 
หากไม่ทำประกันภัย พ.ร.บ. มีโทษตามกฎหมาย ?
คำตอบ : หากฝ่าฝืนไม่จัดให้มีประกันภัย พ.ร.บ. ตามที่กฎหมายกำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาท)
 
ประกันภัย พ.ร.บ. คุ้มครองใครบ้าง ?
คำตอบ : คุ้มครอง “ผู้ประสบภัย” หมายถึง ประชาชนทุกคนที่ประสบภัยจากรถ ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร คนเดินเท้า หากได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถก็จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. นี้
 
ซื้อประกัน พ.ร.บ. ได้ที่ไหน ? 
คำตอบ : เราสามารถซื้อประกัน พ.ร.บ.ได้จากบริษัทประกันวินาศภัยที่รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันภัยรถ รวมถึงสาขาของบริษัทนั้นๆ นอกจากนี้ยังมีบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด ที่รับประกันภัยเฉพาะรถจักรยานยนต์ ซึ่งมีสาขาให้บริการอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หากบริษัทใดฝ่าฝืนไม่รับประกัน พ.ร.บ.ตามที่กฎหมายกำหนดต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงสองแสนห้าหมื่นบาท
 

 
อัตราเบี้ยประกันภัย พ.ร.บ. แพงไหม ?
คำตอบ : อัตราเบี้ยประกันเป็นอัตราคงที่และเป็นอัตราเดียวแยกตามประเภทรถ และลักษณะการใช้รถ บริษัทประกันภัยจะไม่สามารถคิดเบี้ยประกันภัยต่างไปจากที่กฎหมายกำหนดได้ ซึ่งปัจจุบันอัตราเบี้ยประกันภัย พ.ร.บ. เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียน ที่ 1/2551 เรื่อง การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยสำหรับการประกันภัยรถยนต์ ตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 ดังนี้
อัตราเบี้ยประกันภัยคงที่ (ไม่รวมภาษีอากร)
สำหรับการประกันภัยรถตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535
 
1.รถที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังเครื่องยนต์
 
			
				ลำดับ  | ประเภทรถและขนาดเครื่องยนต์  | การใช้รถยนต์  | 
			
				ส่วนบุคคล (บาท/ปี)  | รับจ้าง/ให้เช่า/สาธารณะ (บาท/ปี)  | 
			
				1.  | รถจักรยานยนต์  |    |    | 
			
				   | 1.1 ไม่เกิน 75 ซี.ซี.  | 150  | 150  | 
			
				   | 1.2 เกิน 75 ซี.ซี. ไม่เกิน 125 ซี.ซี.  | 300  | 350  | 
			
				   | 1.3 เกิน 125 ซี.ซี. ไม่เกิน 150 ซี.ซี.  | 400  | 400  | 
			
				   | 1.4 เกิน 150 ซี.ซี.  | 600  | 600  | 
			
				2.  | รถสามล้อเครื่อง  |    |    | 
			
				   | 2.1 ในเขต กทม.  | 720  | 1,440  | 
			
				   | 2.2 นอกเขต กทม.  | 400  | 400  | 
			
				3.  | รถสกายแลป  | 400  | 400  | 
			
				4.  | รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน  | 600  | 1,900  | 
			
				5.  | รถยนต์โดยสารเกิน 7 คน ขนาดที่นั่ง  |    |    | 
			
				   | 5.1 ไม่เกิน 15 ที่นั่ง  | 1,100  | 2,320  | 
			
				   | 5.2 เกิน 15 ที่นั่ง ไม่เกิน 20 ที่นั่ง  | 2,050  | 3,480  | 
			
				   | 5.3 เกิน 20 ที่นั่ง ไม่เกิน 40 ที่นั่ง  | 3,200  | 6,660  | 
			
				   | 5.4 เกิน 40 ที่นั่ง  | 3,740  | 7,520  | 
			
				   | รถยนต์โดยสารหมวด 4 (วิ่งระหว่างอำเภอกับอำเภอในจังหวัด)  |    |    | 
			
				   | 5.5 ไม่เกิน 15 ที่นั่ง  | -  | 1,580  | 
			
				   | 5.6 เกิน 15 ที่นั่ง ไม่เกิน 20 ที่นั่ง  | -  | 2,260  | 
			
				   | 5.7 เกิน 20 ที่นั่ง ไม่เกิน 40 ที่นั่ง  | -  | 3,810  | 
			
				   | 5.8 เกิน 40 ที่นั่ง  | -  | 4,630  | 
			
				6.  | รถยนต์บรรทุก  |    |    | 
			
				   | 6.1 น้ำหนัก ไม่เกิน 3 ตัน  | 900  | 1,760  | 
			
				   | 6.2 น้ำหนัก เกิน 3 ตัน ไม่เกิน 6 ตัน  | 1,220  | 1,830  | 
			
				   | 6.3 น้ำหนัก เกิน 6 ตัน ไม่เกิน 12 ตัน  | 1,310  | 1,980  | 
			
				   | 6.4 น้ำหนัก เกิน 12 ตัน  | 1,700  | 2,530  | 
			
				7.  | รถยนต์บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง แก๊ส หรือกรดขนานน้ำหนักรวม  |    |    | 
			
				   | 7.1 ไม่เกิน 12 ตัน  | 1,680  | 1,980  | 
			
				   | 7.2 เกิน 12 ตัน  | 2,320  | 3,060  | 
			
				8.  | หัวรถลากจูง  | 2,370  | 3,160  | 
			
				9.  | รถพ่วง  | 600  | 600  | 
			
				10.  | รถยนต์ป้ายแดง(การค้ารถยนต์)  |    |    | 
			
				11.  | รถยนต์ที่ใช้ในการเกษตร  |    |    | 
			
				12.  | รถยนต์ประเภทอื่นๆ  |    |    | 
		
		 
2.รถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
			
				ลำดับ  | ประเภทรถและขนาดเครื่องยนต์  | การใช้รถยนต์  | 
			
				ส่วนบุคคล (บาท/ปี)  | รับจ้าง/ให้เช่า/สาธารณะ (บาท/ปี)  | 
			
				1.  | รถจักรยานยนต์  | 300  | 350  | 
			
				2.  | รถสามล้อ  | 500  | 1,440  | 
			
				3.  | รถยนต์นั่งไม่เกิน 7 คน  | 600  | 1,900  | 
		
		 
หมายเหตุ : 
1. รถที่จดทะเบียนในต่างประเทศและนำเข้ามาใช้ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว อัตราเบี้ยประกันภัยให้ใช้อัตราเบี้ยประกันภัยระยะสั้น หรือไม่เต็มปีตามพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ พ.ศ. 2548
2. ให้นำอัตราเบี้ยประกันภัยรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลแยกตาม ซี. ซี. มาใช้กับรถจักรยานยนต์สามล้อดัดแปลงสำหรับคนพิการโดยอนุโลม
 

 
ประกัน พ.ร.บ.คุ้มครองอะไรบ้าง ?
คำตอบ : ปัจจุบันได้รับความคุ้มครองเป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียนที่10/2563 เรื่อง ให้ใช้แบบ ข้อความกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ กรมธรรม์ประกันรถยนต์รวมการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ เอกสารประกอบ เอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัย และพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 โดยได้รับการคุ้มครองดังนี้
 บริษัทประกันวินาศภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ประสบภัยที่ได้รับความเสียหายต่อชีวิตร่างกาย หรืออนามัยของผู้ประสบภัยในนามผู้เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายต่อผู้ประสบภัย เนื่องจากรถที่ใช้หรืออยู่ในทาง หรือเนื่องจากสิ่งที่บรรทุก หรือติดตั้งในรถนั้น ในระหว่างระยะเวลาประกันภัย ดังนี้
			
				ความคุ้มครอง  | ต่อราย  | 
			
				
					- ค่ารักษาพยาบาล ตามความเสียหายที่แท้จริง
  
				 | ไม่เกิน 80,000 บาท  | 
			
				| 
				 | 500,000 บาท  | 
			
				
					- ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง (ไม่สามารถประกอบหน้าที่การงานใด ๆ ในอาชีพประจำ และอาชีพอื่น ๆ ได้โดยสิ้นเชิงตลอดไป)
  
				 | 500,000 บาท  | 
			
				
					- สูญเสียมือสองข้างตั้งแต่ข้อมือ หรือแขนสองข้าง หรือเท้าสองข้างตั้งแต่ข้อเท้า หรือขาสองข้าง หรือสายตาสองข้าง (ตาบอด)
  
				 | 500,000 บาท  | 
			
				
					- สูญเสียมือหนึ่งข้างตั้งแต่ข้อมือ แขนหนึ่งข้าง เท้าหนึ่งข้างตั้งแต่ข้อเท้า ขาหนึ่งข้าง สายตาหนึ่งข้าง (ตาบอด)
 ตั้งแต่ 2 กรณีขึ้นไป  
				 | 500,000 บาท  | 
			
				
					- ทุพพลภาพอย่างถาวร (ไม่สามารถประกอบอาชีพประจำได้)
  
				 | 300,000 บาท  | 
			
				
					- สูญเสียมือหนึ่งข้างตั้งแต่ข้อมือ หรือแขนหนึ่งข้าง หรือเท้าหนึ่งข้างตั้งแต่ข้อเท้า หรือขาหนึ่งข้าง หรือสายตาหนึ่งข้าง (ตาบอด)
 กรณีใดกรณีหนึ่ง  
				 | 250,000 บาท  | 
			
				
					- หูหนวก เป็นใบ้ หรือเสียความสามารถในการพูด หรือลิ้นขาด สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์หรือความสามารถสืบพันธุ์
 จิตพิการอย่างติดตัว (โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือนอย่างติดตัว)  
				 | 250,000 บาท  | 
			
				
					- สูญเสียอวัยวะอื่นใด ที่กระทบต่อการดำรงชีวิตอย่างปกติสุขของผู้ประสบภัย เช่น การสูญเสีย ม้าม ปอด ตับ ไต
 ฟันแท้ทั้งซี่ตั้งแต่ 5 ซี่ ขึ้นไป หรือกรณีกะโหลกศีรษะถูกทำให้เสียหาย เป็นเหตุให้ต้องใช้กะโหลกเทียม เป็นต้น  
				 | 250,000 บาท  | 
			
				
					- สูญเสียนิ้วตั้งแต่ข้อนิ้วขึ้นไป ไม่ว่านิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว
  
				 | 200,000 บาท  | 
			
				
					- ค่าชดเชยรายวันกรณีเข้ารักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน จ่ายตามวันที่รักษาจริง ไม่เกิน 20 วัน
  
				 | 200 บาท/วัน  | 
		
		 
 
ค่าเสียหายเบื้องต้น
บริษัทประกันฯจะจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น (เป็นวงเงินเดียวกันกับความคุ้มครองข้างต้น) ให้แก่ผู้ประสบภัยที่ได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย โดยไม่ต้องรอการพิสูจน์ความรับผิดให้เสร็จสิ้นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่บริษัทได้รับการร้องขอ โดยจ่ายเป็นค่าเสียหายเบื้องต้น ดังนี้
			- กรณีผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายต่อร่างกาย บริษัทจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล ตามจำนวนที่จ่ายไปจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาทต่อหนึ่งคน
 - กรณีผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายต่อร่างกายอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ บริษัทจะจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน 35,000 บาทต่อหนึ่งคน
 
		
			- ตาบอด
 - หูหนวก
 - เป็นใบ้ หรือเสียความสามารถในการพูด หรือลิ้นขาด
 - สูญเสียอวัยวะสืบพันธุ์
 - เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว
 - เสียอวัยวะอื่นใด
 - จิตพิการอย่างติดตัว
 - ทุพพลภาพอย่างถาวร
 
		
			- กรณีผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายต่อชีวิต บริษัทจะจ่ายค่าปลงศพและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการจัดการศพของผู้ประสบภัยตามจำนวนเงินค่าเสียหายเบื้องต้น 35,000 บาทต่อหนึ่งคน
 - จำนวนตามข้อ 1. และ 2. รวมกัน หรือจำนวนข้อ 1. และ 3. รวมกัน แต่หากผู้ประสบภัยได้รับความเสียหายตามข้อ 1. 2. และ 3. หรือได้รับความเสียหายตามข้อ 2. และ 3. ให้ได้รับค่าเสียหายเบื้องต้นรวมกันไม่เกินจำนวน 65,000 บาท
 
		หมายเหตุ- กรณีผู้ประสบภัยที่เป็นผู้ขับขี่รถที่เป็นฝ่ายผิด หรือไม่มีคู่กรณี จะได้รับความคุ้มครองเฉพาะค่าเสียหายเบื้องต้นเท่านั้น
 
 
หากรถที่ไม่ได้ทำประกันภัย พ.ร.บ. ไว้ ไปก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ประสบภัย
คำตอบ : เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายนั้น ถ้าผู้ประสบภัยได้รับบาดเจ็บเจ้าของรถต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือถ้าเสียชีวิตต้องรับผิดชอบค่าปลงศพ อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้ (กรณีบาดเจ็บเท่าที่รักษาจริงจะไม่เกิน 30,000 บาท กรณีเสียชีวิต 35,000 บาท) หากได้รับน้อยกว่านี้ผู้ประสบภัยหรือทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัยยังคงมาขอรับส่วนที่ยังขาดอยู่ได้จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย เมื่อกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจ่ายไปแล้ว กฎหมายกำหนดให้นายทะเบียนตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 มีหน้าที่เรียกเงินตามจำนวนที่ได้จ่ายไปคืนจากเจ้าของรถรวมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละยี่สิบของจำนวนค่าเสียหายเบื้องต้นที่จ่ายจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยเพื่อเข้าสมทบอีกต่างหากภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งจากนายทะเบียน
นอกจากนี้การที่ผู้ขับขี่รถที่ไม่มีประกันภัย พ.ร.บ.ไปก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ประสบภัย ก็มีหน้าที่ต้องรับผิดฐานละเมิดซึ่งชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น หากมีการทำประกันภัย พ.ร.บ.ไว้จะช่วยลดความเสี่ยงที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้อีกช่องทางหนึ่ง เช่น ผู้ประสบภัยถึงแก่ชีวิต และทายาทเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เป็นค่าขาดไร้อุปการะ ค่าปรงศพ รวม 2,000,000 บาท หากทำประกันภัย พ.ร.บ.ไว้จะจะมีบริษัทประกันฯมาร่วมจ่ายค่าสินไหมทดแทน 500,000 บาท ตามกรมธรรม์ เป็นต้น

--------------------------------
 
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) 
โทร. 0-2515-3999 โทรสาร. 0-2515-3970
สายด่วนประกันภัย 1186 
 
สำนักงาน คปภ. จังหวัดพะเยา
โทร. 054-449-603
เวลาทำการ วันจันทร์-วันศุกร์  เวลา 8.30-16.30 น.