ข้าวเหนียว “หอม มพ. 1” ข้าวเหนียวหอมพันธุ์ใหม่จาก ม.พะเยา เพื่อชุมชนภาคเหนือ


 ข้าวเหนียว “หอม มพ. 1” ข้าวเหนียวหอมพันธุ์ใหม่จาก ม.พะเยา เพื่อชุมชนภาคเหนือ
    


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชาวนาหลายพื้นที่อาจรู้สึกเหมือนกันว่าราคาข้าวไม่ค่อยดีเหมือนแต่ก่อน เพราะข้าวในตลาดโลกมีเยอะขึ้น หลายประเทศหันมาส่งออกแข่งกัน ทำให้ข้าวไทยขายได้ยากขึ้น แม้ข้าวเจ้าจะเป็นพืชหลักที่สร้างเงินให้ประเทศ แต่สำหรับคนเหนือกับคนอีสาน “ข้าวเหนียว” ก็ยังเป็นของคู่บ้านคู่เมืองที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะพันธุ์กข6 ที่ปลูกกันมานาน แต่มีปัญหาอยู่หลายอย่าง เช่น ปลูกได้เฉพาะฤดูกาลเดียว และมักเป็นโรคไหม้ ทำให้ผลผลิตเสียหายง่าย


เพื่อลดปัญหาเหล่านี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยพะเยา นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไวพจน์ กันจู อาจารย์ประจำสาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ ได้พัฒนาข้าวเหนียวพันธุ์ใหม่ชื่อว่า “หอม มพ. 1เป็นข้าวเหนียวหอมที่ตั้งใจทำขึ้นมาให้แข็งแรงขึ้น ปลูกง่ายขึ้น และให้ผลผลิตดีกว่าเดิม โดยใช้ทั้งวิธีปรับปรุงพันธุ์แบบดั้งเดิม และเทคโนโลยีตรวจดีเอ็นเอสมัยใหม่ ทำให้คัดเลือกต้นที่ดีที่สุดได้เร็วและแม่นยำกว่าเดิม ข้าวพันธุ์นี้ใช้เวลาพัฒนาหลายปี จากการผสมข้าว 3 สายพันธุ์ ได้แก่ สันป่าตอง 1, กข6 และสายพันธุ์วิจัย RGD07585-5-B-MAS-12-1-MAS-14 ผ่านการคัดเลือกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนได้ลักษณะที่ต้องการ คือ กลิ่นหอม ต้านทานโรคไหม้ และทนโรคขอบใบแห้งได้ดี



ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไวพจน์ กันจู กล่าวว่า จากผลงานวิจัยและการได้ทดลองปลูกพบว่า สิ่งที่ทำให้ “หอม มพ. 1” น่าสนใจกว่าพันธุ์เก่า ๆ คือ ข้าวพันธุ์นี้ ไม่ไวต่อช่วงแสง แปลว่าปลูกได้ยืดหยุ่นกว่า ไม่ต้องรอเดือนเหมือนพันธุ์กข6 ลำต้นแข็งแรง สูงประมาณ 126 เซนติเมตร รวงยาว เมล็ดใหญ่ และให้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 830 กิโลต่อไร่ ซึ่งถือว่าดีมาก ปลูกแล้วได้ผลค่อนข้างแน่นอน เหมาะกับพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะนาชลประทาน ใช้เวลาปลูกจนถึงเกี่ยวประมาณ 140–150 วัน ปลูกในนาปีจะเหมาะที่สุด ส่วนในนาปรังอาจใช้เวลานานและต้องการน้ำมาก ทีมวิจัยกำลังแก้จุดนี้เพื่อให้ปลูกได้หลากหลายขึ้นในอนาคต


ในเรื่องรสชาติ “หอม มพ. 1” มีกลิ่นหอมชัดกว่าสันป่าตอง 1 ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ชาวเหนือคุ้นเคย นึ่งแล้วหอม นุ่ม เหมาะกับอาหารพื้นบ้าน ไม่ว่าจะทำข้าวหลาม หมกข้าว หรือใช้ในร้านอาหารทั่วไป เมล็ดที่ใหญ่และสวยยังเหมาะกับการแปรรูปเป็นสินค้าเพิ่มมูลค่าของชุมชน เช่น ขนมพื้นบ้าน หรือผลิตภัณฑ์ฝากนักท่องเที่ยว



สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ข้าวพันธุ์นี้ทนโรคได้ดี โดยเฉพาะโรคไหม้ที่เกษตรกรกลัวกันมาก เพราะทำให้ต้นข้าวเสียหายเป็นวงกว้าง การที่ “หอม มพ. 1” แข็งแรงกว่าพันธุ์ทั่วไป ทำให้ลดความเสี่ยง ลดค่าใช้จ่าย และลดความเหนื่อยของชาวนาได้ไม่น้อย เมื่อผลผลิตดี รายได้ก็เพิ่มขึ้น ทำให้ทั้งครอบครัวและชุมชนมีเงินหมุนเวียนมากขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรงสี ร้านอาหาร หรือกลุ่มแปรรูปในหมู่บ้าน ต่างได้รับประโยชน์จากการมีข้าวคุณภาพดีให้ใช้อย่างต่อเนื่อง


วันนี้ “หอม มพ. 1” ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากกรมวิชาการเกษตรแล้ว และกำลังเตรียมผลิตเมล็ดพันธุ์ให้ชาวนาได้เริ่มปลูกในอนาคตอันใกล้ นับเป็นความสำเร็จของงานวิจัยไทยที่ช่วยให้เกษตรกรมีตัวเลือกใหม่ ข้าวเหนียวที่ทั้งหอม อร่อย แข็งแรง และให้ผลผลิตดีขึ้นกว่าเดิม



เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ เป็นผลงานของทีมวิจัยจากคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยพะเยา โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไวพจน์ กันจู เป็นหัวหน้าโครงการ ร่วมกับ อ.วราวุฒิ โล๊ะสุข จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่านนางสาวศิริพร กออินทร์ศักดิ์ และ ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา จาก สวทช. พร้อมด้วยทีมผู้ช่วยวิจัย นายกษิดิศ มิ่งเมือง และ นายนิรุตติ์ โปทะปัญญา และความร่วมมือด้านการทดสอบพันธุ์จากศูนย์วิจัยข้าวเชียงราย และ ศูนย์วิจัยข้าวแพร่ กรมการข้าว ภายใต้การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาพันธุ์โดยสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร หรือ สวก. (องค์การมหาชน)  โดยทีมวิจัยกำลังพัฒนาต่อยอดและอยู่ระหว่างการขยายผลสู่ชุมชน  เพื่อหาทางแก้ปัญหาให้สายพันธุ์นี้สามารถปลูกได้ในนาปรัง หรือในพื้นที่นาชลประทาน ที่มีข้อจำกัดด้านน้ำที่ไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก




กิจกรรม “วิถีวัฒนธรรมแห่งท้องทุ่ง เกี่ยวข้าว ตีข้าว วิถีชาวล้านนา” มหาวิทยาลัยพะเยา จัดขึ้นเพื่อสืบสานภูมิปัญญาการทำนาแบบดั้งเดิมและสร้างความตระหนักรู้ถึงคุณค่าของอาชีพเกษตรกรรม เป็นความร่วมมือของคณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ และศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรมล้านนา โดยรองศาสตราจารย์ ดร.สุภกร พงศบางโพธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา เป็นประธานนำเกี่ยวข้าว ไฮไลต์สำคัญคือการเก็บเกี่ยวข้าวเหนียวพันธุ์ “หอม มพ. 1” ซึ่งได้ปลูกไว้ในแปลงสาธิตการเกษตร ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยพะเยา กิจกรรมครั้งนี้เปิดโอกาสให้บุคลากรและนิสิตได้เรียนรู้กระบวนการทำนาแบบล้านนา ตั้งแต่การลงแขกเกี่ยวข้าวจนถึงการตีข้าวคัดแยกเมล็ด สร้างประสบการณ์ตรง เชื่อมโยงองค์ความรู้ทางวิชาการกับวิถีชุมชน และส่งเสริมบทบาทมหาวิทยาลัยในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน


เมื่อเมล็ดพันธุ์พร้อมส่งถึงมือชาวนา เชื่อได้เลยว่า “หอม มพ. 1” จะกลายเป็นอีกหนึ่งพันธุ์ข้าวเหนียวที่ช่วยให้ชุมชนภาคเหนือตอนบนมีรายได้มั่นคงขึ้น และเป็นความภูมิใจใหม่ของคนไทยที่เกิดจากงานวิจัยของบ้านเราเองอย่างแท้จริง

 
     

facebooktwitterline

แท็กที่เกี่ยวข้อง

ภาพ :   สถาบันนวรรตกรรมการเรียนรู็ / คณะเกษตรศาสตร์และทรัพยากรธรรมชาติ   
ข้อมูล/ข่าว :    ข้อมูล : ผศ.ดร.ไวพจน์ กันจู อาจารย์ประจำสาขาวิชาเกษตรศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ฯ ม.พะเยา / ข่าว : ธิดาเดือน อุตยานะ งานสื่อสารองค์กร   
เพิ่มข่าวโดย :   tidaduen.ut@up.ac.th   
12/12/2568 16:00 น. (13 ชั่วโมงที่แล้ว)

สถิติการอ่านข่าวนี้
วันนี้: 7 ครั้ง | เมื่อวาน: 54 ครั้ง | เดือนนี้: 61 ครั้ง | ปีนี้: 61 ครั้ง | รวม: 61 ครั้ง